รวม 7 วิธีฝึกภาษาอังกฤษให้เป๊ะ อยากเก่งภาษาต้องดู

รวม 7 วิธีฝึกภาษาอังกฤษให้เป๊ะ อยากเก่งภาษาต้องดู

ภาษาอังกฤษเป็นทักษะสำคัญที่ขาดไม่ได้ในโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียน หรือการท่องเที่ยว หลายคนอาจคิดว่าการฝึกภาษาอังกฤษเป็นเรื่องยาก แต่จริง ๆ แล้วมีหลากหลายวิธีที่จะช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้อย่างสนุกสนานและมีประสิทธิผล มาดูกันว่ามีวิธีฝึกภาษาอังกฤษวิธีไหนบ้างที่จะช่วยยกระดับภาษาอังกฤษของคุณให้แข็งแกร่งขึ้น

แนะนำ 7 วิธีฝึกภาษาอังกฤษ

การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการเรียนในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว วิธีฝึกภาษาอังกฤษที่จะแนะนำต่อไปนี้เป็นเทคนิคที่สามารถทำได้ทุกวัน และเห็นผลลัพธ์ชัดเจน เพียงแค่คุณมีความมุ่งมั่นและทำอย่างต่อเนื่อง

1. ดูซีรีส์และภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ

การเลือกดูซีรีส์และภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเป็นหนึ่งในวิธีฝึกภาษาอังกฤษที่สนุกและได้ผลลัพธ์ดีสุด ๆ เริ่มต้นจากการเปิดซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษควบคู่กับการฟังเสียงต้นฉบับ จะช่วยให้คุ้นเคยกับการออกเสียง สำนวน และการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน พยายามจับประโยคที่ตัวละครพูดและพูดตาม หากเจอคำศัพท์หรือสำนวนที่น่าสนใจก็จดบันทึกไว้ เมื่อทำไปสักระยะ จะพบว่าความเข้าใจภาษาอังกฤษของคุณพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

2. ฟังพอดแคสต์ภาษาอังกฤษ

พอดแคสต์เป็นสื่อที่เหมาะสำหรับการฝึกภาษาอังกฤษแบบเคลื่อนที่ คุณสามารถฟังได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะระหว่างเดินทาง ออกกำลังกาย หรือทำงานบ้าน เลือกพอดแคสต์ที่ตรงกับความสนใจของคุณ อาจเป็นเรื่องธุรกิจ การท่องเที่ยว หรือการพัฒนาตนเอง การฟังเนื้อหาที่คุณชื่นชอบจะทำให้การเรียนรู้ภาษาเป็นเรื่องสนุกและน่าติดตาม พยายามฟังอย่างตั้งใจและจับใจความสำคัญ หากไม่เข้าใจตอนไหนสามารถย้อนกลับมาฟังซ้ำได้

3. ลงคอร์สซัมเมอร์ต่างประเทศ

สำหรับน้อง ๆ วัยเรียน ไม่อยากให้พลาดคอร์สเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศ เพราะเป็นโอกาสที่จะได้ฝึกใช้ภาษาในสถานการณ์จริง พบปะเพื่อน ๆ จากหลากหลายประเทศ และเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง โปรแกรมซัมเมอร์มักจัดกิจกรรมที่หลากหลาย ทั้งการเรียนในห้องเรียน การทำกิจกรรมกลุ่ม และการทัศนศึกษา ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษแบบก้าวกระโดด เพราะจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารตลอดเวลา รับรองว่า กลับไทยมาแล้วพูดคล่องกว่าเดิมแน่นอน!

ลงคอร์สซัมเมอร์ต่างประเทศ

4. หาเพื่อนชาวต่างชาติผ่านแอปพลิเคชัน

การมีเพื่อนชาวต่างชาติเป็นวิธีฝึกภาษาอังกฤษที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการสื่อสาร ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันมากมายที่ออกแบบมาเพื่อการแลกเปลี่ยนภาษาโดยเฉพาะ สามารถพูดคุยผ่านข้อความ เสียง หรือวิดีโอคอล แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อที่สนใจร่วมกัน การพูดคุยกับเจ้าของภาษาจะช่วยให้เข้าใจการใช้ภาษาในบริบทต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น และยังได้เรียนรู้สำนวนที่ใช้จริงในชีวิตประจำวันอีกด้วย

5. ฝึกสำเนียงจากหนังหรือเพลงที่ชอบ

การฝึกสำเนียงจะทำให้การสื่อสารภาษาอังกฤษเป็นธรรมชาติมากขึ้น อาจจะเลือกฉากจากหนังหรือเลือกเพลงที่ชื่นชอบ ฟังซ้ำหลาย ๆ ครั้งและพยายามเลียนแบบการออกเสียง น้ำเสียง และจังหวะการพูด สังเกตการเน้นเสียงหนักเบา การเชื่อมเสียง และการลงท้ายประโยค การฝึกซ้ำ ๆ จะช่วยให้กล้ามเนื้อในการออกเสียงแข็งแรงขึ้น และพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วเป็นธรรมชาติ

6. ฝึกพูดภาษาอังกฤษกับตัวเองหน้ากระจก

หลังจากฝึกสำเนียงแล้ว ลองพูดกับตัวเองหน้ากระจก โดยเริ่มจากการเล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวัน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้อที่สนใจ หรือจำลองสถานการณ์การสนทนาต่าง ๆ การมองเห็นตัวเองในกระจกจะช่วยให้สังเกตการแสดงออกทางสีหน้าและท่าทาง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสื่อสาร อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษ เพราะได้ฝึกซ้อมในพื้นที่ของตัวเอง

7. อ่านเยอะ ๆ เพื่อเพิ่มคลังคำศัพท์

การอ่านเป็นวิธีฝึกภาษาอังกฤษที่ช่วยเพิ่มพูนคลังคำศัพท์และความเข้าใจในโครงสร้างประโยค โดยเลือกอ่านสิ่งที่ตัวเองสนใจ ไม่ว่าจะเป็นบทความออนไลน์ นิยาย หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร พยายามทำความเข้าใจความหมายจากบริบท และจดบันทึกคำศัพท์หรือสำนวนใหม่ ๆ ที่พบ การอ่านสม่ำเสมอจะช่วยให้คุ้นเคยกับรูปแบบการเขียนที่หลากหลาย และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเขียนและพูดของตัวเอง

อ่านเยอะ ๆ เพื่อเพิ่มคลังคำศัพท์

สรุปบทความ

การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า วิธีฝึกภาษาอังกฤษที่นำเสนอไปทั้งหมดนี้สามารถทำควบคู่กันได้ตามความเหมาะสมของแต่ละคน สำหรับผู้ปกครองหรือน้อง ๆ ที่สนใจฝึกภาษาอังกฤษด้วยการเรียนซัมเมอร์ที่ต่างประเทศ CETA มีโปรแกรม Summer Course ให้น้อง ๆ ได้เลือกตามความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นซัมเมอร์ อังกฤษ หรือซัมเมอร์ ออสเตรเลีย พร้อมสัมผัสประสบการณ์การเรียนในโรงเรียนชั้นนำ เรียนรู้วัฒนธรรมผ่านกิจกรรมหลากหลาย โดยมีพี่ลีดเดอร์ที่มีประสบการณ์คอยดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดโครงการ สอบถามรายละเอียดโครงการต่าง ๆ จาก CETA ได้ที่

เลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูกยังไง ให้เหมาะสมที่สุด

เลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูกยังไง ให้เหมาะสมที่สุด

การตัดสินใจเลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูกถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะส่งผลต่ออนาคตของพวกเขา เพราะช่วงมัธยมศึกษาเป็นวัยที่เด็ก ๆ กำลังค้นหาตัวเอง พัฒนาทักษะทางสังคม และเริ่มวางเส้นทางการเรียนที่จะนำไปสู่อาชีพในอนาคต ผู้ปกครองหลายท่านจึงให้ความสำคัญกับการเลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูกเป็นพิเศษ มาดูกันว่าเราควรพิจารณาอะไรบ้าง

 

โรงเรียนที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร

  • มีปรัชญาและวิสัยทัศน์ทางการศึกษาที่ชัดเจน มุ่งเน้นการพัฒนานักเรียนแบบองค์รวม ไม่ใช่แค่เรื่องวิชาการอย่างเดียว แต่รวมถึงทักษะการใช้ชีวิต คุณธรรม และความเป็นผู้นำ
  • ได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีระบบการบริหารจัดการที่โปร่งใส และมีการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
  • สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีความปลอดภัย และบรรยากาศเอื้อต่อการเรียนรู้  
  • ขนาดชั้นเรียนไม่ใหญ่เกินไป นักเรียนได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง

 

เลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูก ต้องดูอะไรบ้าง

เลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูก ต้องดูอะไรบ้าง

การเลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูกนั้นเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะจะส่งผลต่อพัฒนาการและการเติบโตของลูกในหลาย ๆ ด้าน มาดูปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณากัน

 

1. ความชอบของลูก

การเลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูกควรเริ่มต้นจากการพูดคุยและรับฟังความต้องการของลูกเป็นหลัก เพราะความสนใจและความถนัดของเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน บางคนอาจชอบด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ขณะที่บางคนอาจมีใจรักในด้านศิลปะหรือดนตรี การให้ลูกได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบจะช่วยสร้างแรงจูงใจและความสุขในการเรียนรู้

 

2. หลักสูตรของโรงเรียน

โรงเรียนควรมีหลักสูตรที่ทันสมัย ครอบคลุมทั้งวิชาการและทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าจะเป็นการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการสื่อสาร นอกจากนี้ยังควรมีการบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับการเรียนการสอน เพื่อเตรียมความพร้อมให้เด็ก ๆ สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างมั่นใจ

โรงเรียนไทยส่วนใหญ่ใช้หลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ แต่ถ้าเป็นโรงเรียนนานาชาติ หรือโรงเรียนต่างประเทศ จะใช้หลักสูตรนานาชาติ อย่างเช่นหลักสูตร IB ที่มุ่งเน้นการศึกษาแบบบูรณาการ ส่งเสริมให้เด็ก ๆ คิดอย่างมีวิจารณญาณ สามารถเลือกเรียนวิชาที่สนใจเองได้ และที่สำคัญได้รับการยอมรับระดับสากล ช่วยเปิดประตูสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก

หรือหลักสูตร American Curriculum ที่เน้นการเรียนแบบยืดหยุ่น สอนทั้งวิชาการและกิจกรรมควบคู่กัน เพื่อให้เด็กค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบ และสนับสนุนให้เด็กกล้าแสดงออกในด้านที่ถนัด เรียกได้ว่า ถ้าอยากให้เด็ก ๆ เรียนรู้แบบเปิดกว้าง ไม่จำกัดเฉพาะวิชาการ หรือการเรียนในห้องเรียน หลักสูตรนานาชาติเหล่านี้ถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์

 

3. สภาพแวดล้อมโดยรอบ

สภาพแวดล้อมของโรงเรียนส่งผลโดยตรงต่อการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็ก การเลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูกจึงควรพิจารณาทั้งทำเลที่ตั้ง ความสะดวกในการเดินทาง และบรรยากาศโดยรอบ หากโรงเรียนอยู่ในพื้นที่เงียบสงบ อากาศดี จะช่วยสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ทำให้เด็ก ๆ มีสมาธิในการเรียนมากขึ้น

 

4. กิจกรรมนอกหลักสูตร

กิจกรรมเสริมหลักสูตรมีส่วนสำคัญในการพัฒนาทักษะรอบด้านให้กับนักเรียน โรงเรียนที่ดีควรมีชมรมและกิจกรรมที่หลากหลาย ทั้งด้านกีฬา ศิลปะ ดนตรี และจิตอาสา เพื่อให้นักเรียนได้ค้นพบความสนใจและพัฒนาศักยภาพของตนเอง รวมถึงเรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น การบริหารเวลา และการเป็นผู้นำ

เลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูกยังไง ให้เหมาะสมที่สุด

5. คุณสมบัติของครูผู้สอน

คุณภาพของครูผู้สอนเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม อย่างโรงเรียนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา มีมาตรฐานในการคัดเลือกครูที่เข้มงวด โดยครูจะมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ไม่ได้มีลักษณะที่ให้ครูท่านเดียวสอนหลายวิชา ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้นักเรียนได้รับความรู้อย่างเต็มที่และนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

นอกจากนี้ ครูที่ดีไม่เพียงมีความรู้และประสบการณ์ในการสอนเท่านั้น แต่ต้องมีจิตวิทยาในการดูแลนักเรียน เข้าใจธรรมชาติของวัยรุ่น และสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้เด็ก ๆ อยากเรียนรู้

 

6. สิ่งอำนวยความสะดวกในโรงเรียน

โรงเรียนควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทั้งห้องเรียน ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องสมุด สนามกีฬา รวมไปถึงพื้นที่สีเขียว สวนหย่อม มุมพักผ่อน เพื่อให้นักเรียนได้ผ่อนคลาย สิ่งเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการของนักเรียนในทุก ๆ ด้าน

 

7. ขนาดชั้นเรียน

ขนาดของห้องเรียนส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการเรียนการสอน การเลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูกควรพิจารณาจำนวนนักเรียนต่อห้องที่เหมาะสม เพื่อให้ครูสามารถดูแลและให้ความสนใจนักเรียนได้อย่างทั่วถึง ห้องเรียนขนาดเล็กจะช่วยให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียนได้ดีกว่า และเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในชั้นเรียนมากขึ้น

 

8. ค่าเทอม

การพิจารณาเรื่องค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการเลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูก นอกจากค่าเล่าเรียนแล้ว ควรคำนึงถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่ากิจกรรมพิเศษ และค่าเดินทาง โดยเปรียบเทียบกับคุณภาพการศึกษาและสิ่งที่ลูกจะได้รับ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว

 

สรุปบทความ

การเลือกโรงเรียนมัธยมให้ลูกเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ตั้งแต่ความชอบของลูก หลักสูตร สภาพแวดล้อม ไปจนถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แต่ที่สำคัญที่สุดคือการเลือกโรงเรียนที่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการและความสามารถของลูกได้อย่างเต็มที่ 

สำหรับผู้ปกครองที่สนใจส่งลูกไปศึกษาต่อในโรงเรียนมัธยมชั้นนำระดับนานาชาติ CETA พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลตั้งแต่การเลือกโรงเรียนที่เหมาะสม การสมัครเรียน ไปจนถึงการดูแลระหว่างที่ศึกษาอยู่ต่างประเทศ เพื่อให้ลูก ๆ ได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีคุณภาพและพร้อมก้าวสู่อนาคตอย่างมั่นใจ สอบถามรายละเอียดต่าง ๆ จาก CETA ได้ที่ 

8 ข้อควรรู้ ก่อนตัดสินใจส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ

ข้อควรรู้ ก่อนตัดสินใจส่งลูกไปเรียนต่างประเทศการส่งลูกไปเรียนต่างประเทศถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของครอบครัว ที่จะเปิดโอกาสให้ลูกได้พัฒนาทั้งด้านการศึกษา ทักษะภาษา และประสบการณ์ชีวิต แต่ก่อนจะตัดสินใจส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ มีหลายสิ่งที่ผู้ปกครองควรพิจารณาให้รอบคอบ เพื่อให้การเรียนต่อต่างประเทศของลูกเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ประโยชน์สูงสุด

8 ข้อควรรู้ ก่อนส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ

การเตรียมความพร้อมก่อนส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ มัธยม เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทั้งผู้ปกครองและลูกมั่นใจว่าพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่ต้องพิจารณา

1. ความสมัครใจของลูก

ก่อนตัดสินใจส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ สิ่งสำคัญที่สุดคือการพูดคุยและรับฟังความคิดเห็นของลูก เพราะความสำเร็จในการเรียนต่อต่างประเทศขึ้นอยู่กับความพร้อมและความตั้งใจของตัวลูกเอง ผู้ปกครองควรให้ลูกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ตั้งแต่การเลือกประเทศ โรงเรียน และที่พัก รวมถึงควรประเมินว่าลูกมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะใช้ชีวิตในต่างแดนหรือไม่ เพราะการไปเรียนต่างประเทศต้องอาศัยความรับผิดชอบและการปรับตัวสูง

2. การปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษ

ทักษะภาษาอังกฤษเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการไปเรียนต่างประเทศ ผู้ปกครองควรส่งเสริมให้ลูกฝึกฝนภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่อง ทั้งการฟัง พูด อ่าน และเขียน โดยอาจเริ่มจากการเรียนพิเศษ ดูหนังฟังเพลงภาษาอังกฤษ หรือพูดคุยกับชาวต่างชาติ

3. ประเทศและเมืองที่ใช่

การเลือกประเทศสำหรับการไปเรียนต่างประเทศนั้น ต้องพิจารณาหลายปัจจัย ทั้งระบบการศึกษา ค่าครองชีพ ความปลอดภัย และวัฒนธรรมที่แตกต่าง ประเทศยอดนิยมสำหรับการส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ มัธยม ได้แก่ อังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ แต่ละประเทศมีจุดเด่นและข้อควรพิจารณาที่แตกต่างกัน ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดและเลือกให้เหมาะกับลูก

ประเทศและเมืองที่ใช่4. สถานศึกษาที่ต้องการ

การเลือกโรงเรียนต่างประเทศที่เหมาะสมเป็นอีกปัจจัยสำคัญ ควรพิจารณาหลักสูตรการเรียนการสอน ชื่อเสียงของสถาบัน สิ่งอำนวยความสะดวก และกิจกรรมเสริมหลักสูตร นอกจากนี้ยังต้องดูเรื่องที่ตั้ง การเดินทาง และสภาพแวดล้อมโดยรอบ บางโรงเรียนอาจมีโปรแกรมพิเศษสำหรับนักเรียนต่างชาติ เช่น คลาสปรับพื้นฐานภาษา หรือกิจกรรมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม

5. ประเภทที่พักอาศัย

เรื่องที่พักอาศัยมีให้เลือก 2 แบบหลัก ๆ คือ หอพักในโรงเรียนและโฮมสเตย์ 

  • หอพัก เหมาะสำหรับน้อง ๆ ที่ต้องการความเป็นอิสระและต้องการใช้เวลาส่วนใหญ่ในโรงเรียน มีเพื่อนและกิจกรรมให้ทำตลอด มีข้อดีตรงที่อยู่ใกล้กับสถานศึกษา ทำให้สามารถเดินทางได้สะดวก
  • โฮมสเตย์ เหมาะกับน้อง ๆ ที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด ได้ฝึกภาษาและปรับตัวเข้ากับโฮสแฟมิลี่ 

ทั้งสองแบบมีข้อดีต่างกัน ควรเลือกตามความเหมาะสมและความต้องการของลูก

6. งบประมาณ

การส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ นอกจากค่าเล่าเรียนแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าประกันสุขภาพ และค่าใช้จ่ายส่วนตัว เป็นต้น 

อย่างค่าเทอมโรงเรียนมัธยมส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 1 ล้านบาทขึ้นไปต่อปี ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่ากินค่าอยู่ เฉลี่ยอยู่ที่ 5,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับค่าครองชีพ ดังนั้น ควรวางแผนงบประมาณให้ครอบคลุมตลอดระยะเวลาการศึกษา รวมถึงเผื่องบฉุกเฉินไว้ด้วย นอกจากนี้อาจพิจารณาหาทุนการศึกษาหรือโครงการแลกเปลี่ยนเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย

งบประมาณ7. เอกสารที่ต้องใช้

การเตรียมเอกสารสำหรับการไปเรียนต่างประเทศต้องทำอย่างรอบคอบและครบถ้วน เอกสารพื้นฐานที่ต้องเตรียม ได้แก่ 

  • หนังสือเดินทาง
  • ผลการเรียน
  • ผลสอบภาษาอังกฤษ 
  • หลักฐานการศึกษาจากสถาบันเดิมและปัจจุบัน
  • จดหมายรับรองจากอาจารย์ หรือผู้อำนวยการโรงเรียน หรืออธิการ

บางประเทศอาจต้องการเอกสารเพิ่มเติม เช่น ประกันสุขภาพ หรือหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง แนะนำให้สอบถามกับสถานศึกษา และควรเตรียมเอกสารล่วงหน้าเพื่อให้มีเวลาแก้ไขหากมีปัญหา

8. การขอวีซ่า

การขอวีซ่านักเรียนเป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างถูกต้องและรอบคอบ แต่ละประเทศมีข้อกำหนดและระยะเวลาในการพิจารณาวีซ่าที่แตกต่างกัน ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีและเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน โดยเฉพาะหลักฐานทางการเงินและจดหมายตอบรับจากสถานศึกษา ควรยื่นขอวีซ่าล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 เดือนก่อนเปิดเทอม เพื่อเผื่อเวลาในกรณีที่ต้องแก้ไขหรือเพิ่มเติมเอกสาร

ส่งลูกเรียนต่างประเทศต้องเตรียมตัวอย่างไร?

ส่งลูกเรียนต่างประเทศต้องเตรียมตัวอย่างไรแล้วการส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ ต้องเตรียมอะไรบ้าง? เรามี 5 ขั้นตอนที่ผู้ปกครองควรดำเนินการมาฝากกัน

  • การเตรียมความพร้อมด้านภาษา ต้องฝึกฝนให้ลูกสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ในระดับที่ใช้งานได้จริง ทั้งการฟัง พูด อ่าน เขียน พร้อมทั้งเตรียมสอบวัดระดับภาษาที่เป็นที่ยอมรับ
  • การเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยพิจารณาจากอายุและวุฒิภาวะของลูก ช่วงอายุ 11 (Year 7) – 13 (Year 9) ปี ถือเป็นช่วงที่เหมาะสม เพราะลูกสามารถปรับตัวได้ดีและมีเวลาพัฒนาทักษะต่าง ๆ ได้เต็มที่
  • การทดลองเรียนระยะสั้น อาจส่งลูกไปเรียนภาคฤดูร้อนก่อน เพื่อให้ลูกได้ลองปรับตัวและสัมผัสประสบการณ์จริง เป็นการประเมินความพร้อมก่อนตัดสินใจเรียนระยะยาว
  • การวางแผนการสมัครและกำหนดการ ต้องติดตามข้อมูลการรับสมัครของสถานศึกษาอย่างใกล้ชิด เตรียมเอกสารให้พร้อม และยื่นใบสมัครตามกำหนดเวลา
  • การวางแผนการเงิน ต้องประเมินค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดหลักสูตร รวมถึงค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน และอาจหาข้อมูลเรื่องทุนการศึกษาเผื่อไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถสนับสนุนการเรียนของลูกได้จนจบหลักสูตร

เลือกเรียนต่างประเทศที่ไหนดี?

หลายครอบครัวไม่แน่ใจว่า ควรเลือกเรียนต่างประเทศที่ไหนดี? การตัดสินใจเลือกประเทศสำหรับการไปเรียนต่างประเทศนั้น ควรพิจารณาให้รอบด้านเพื่อให้เหมาะสมกับลูกมากที่สุด ดังนี้

  • ระบบการศึกษาและมาตรฐาน ต้องพิจารณาว่าระบบการศึกษาของประเทศนั้นเป็นที่ยอมรับในระดับสากล มีหลักสูตรที่เหมาะสมกับลูก และสามารถเทียบโอนกลับมาเรียนต่อในไทยได้
  • ค่าครองชีพและค่าใช้จ่าย แต่ละประเทศมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน ต้องประเมินทั้งค่าเล่าเรียน ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เพื่อวางแผนการเงินให้เหมาะสม
  • สภาพแวดล้อมและความปลอดภัย ควรเลือกประเทศและเมืองที่มีความปลอดภัยสูง มีระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวก และมีสภาพอากาศที่ลูกสามารถปรับตัวได้
  • ภาษาและวัฒนธรรม พิจารณาว่าลูกจะสามารถปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตในประเทศนั้นได้หรือไม่ รวมถึงโอกาสในการพัฒนาทักษะภาษา
  • โอกาสในอนาคต มองถึงโอกาสในการศึกษาต่อระดับสูงขึ้น หรือโอกาสในการทำงานในอนาคต หากลูกต้องการศึกษาต่อหรือทำงานในประเทศนั้น

สรุปบทความ

การส่งลูกไปเรียนต่างประเทศเป็นการลงทุนที่สำคัญทั้งด้านการศึกษาและประสบการณ์ชีวิต การเตรียมความพร้อมในทุกด้านจึงเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งการพัฒนาทักษะภาษา การเลือกประเทศและสถานศึกษาที่เหมาะสม การวางแผนการเงิน และการเตรียมเอกสารต่าง ๆ

แต่ถ้าผู้ปกครองท่านไหนยังไม่แน่ใจ CETA พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลทุกขั้นตอนของการไปเรียนต่อมัธยมในต่างประเทศ ตั้งแต่การสมัครเรียน ทำวีซ่า หาที่พัก และให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ ตลอดจนจบการศึกษา ให้การเรียนต่อต่างประเทศของลูกเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ประโยชน์สูงสุด

CETA เป็นผู้เชี่ยวชาญโครงการ Summer Course โครงการ Short-term และการศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาที่ต่างประเทศ พร้อมประสบการณ์ในวงการศึกษาต่อต่างประเทศมากกว่า 22 ปี สอบถามรายละเอียดโครงการต่าง ๆ จาก CETA ได้ที่ 

SIDCOT SCHOOL MINI SEMINAR 2019

Sidcot School Mini Seminar 2019

เรียนเชิญผู้ปกครองและน้องๆ เข้าร่วมงานสัมมนาเรียนต่อมัธยมอังกฤษ “Sidcot School Mini Seminar 2019” โรงเรียนเก่าแก่จากประเทศอังกฤษ

✅ รับฟังสัมมนาศึกษาต่อระดับมัธยมในประเทศอังกฤษ โดย Mr.Lain Kilpatrick, Headmaster of Sidcot School

✅ พบปะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด

Sidcot School เป็นโรงเรียนสหศึกษาเก่าแก่แห่งหนึ่งในอังกฤษ เปิดสอนในหลักสูตร 1 Year GCSE, 2 Years GCSE, A-Level และ IB Diploma ตั้งอยู่ที่ North Somerset ไม่ไกลจาก Bristol และ London โรงเรียนมีความเป็นเลิศทั้งวิชาการและกีฬา การันตีได้จากผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมของนักเรียนที่สามารถเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำได้ทั่วโลก ทางโรงเรียนสนับสนุนให้นักเรียนทุกคนได้ลองเล่นกีฬาทุกประเภท เพื่อจะได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของทีม เรามีกีฬาให้เลือกหลากหลายประเภทตั้งแต่กีฬาแบบดั้งเดิมและกีฬาทางเลือก เช่น กอล์ฟ ฟันดาบ เต้นรำ โปโลน้ำ บาสเกตบอล ปิงปอง การเล่นสกีฤดูร้อน หรือแม้แต่ทักษะการเล่นละครสัตว์ และ Octopush (ฮอกกี้ใต้น้ำ) ทางโรงเรียนเตรียมตารางการจัดการแข่งขันกีฬาต่างๆ เอาไว้ตลอดเวลา โดยนักเรียนที่มีความชำานาญด้านกีฬาของเรามีโอกาสเข้าแข่งขันระดับเขต ระดับประเทศ และระดับนานาชาติด้วย โดยภายในศูนย์กีฬาของโรงเรียน Sidcot มีสระว่ายน้ำอุ่นในร่มขนาด 25 เมตร รวมทั้งโรงยิม ห้องกีฬารวม และสตูดิโอสำหรับการเต้นรำให้นักเรียนได้ใช้อย่างเพลิดเพลิน มีศูนย์ฝึกขี่ม้าภายในบริเวณโรงเรียนและทีมขี่ม้าระดับแนวหน้าของประเทศ ศูนย์การเรียนรู้เพื่อสันติภาพและความเป็นไปของโลก

 

🗓 วัน พุธ ที่ 27 พฤศจิกายน 2562

เวลา 17.30 – 18.30 น.

📌 CETA Office (ทองหล่อ ซ.13)

 

💥ลงทะเบียนร่วมงาน ฟรี💥

โทร. 02-7125300 หรือ Line: @CETA

First Aid & CPR Training

First Aid & CPR Training

ในวันพุธที่ 28 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาต่อต่างประเทศ ระยะยาว ระยะสั้น และซัมเมอร์ ตลอดจนพนักงาน CETA Worldwide Education ได้เข้าอบรมการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และการทำ CPR เพื่อเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือผู้อื่น ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หรือ สถานการณ์ฉุกเฉิน และเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ปกครอง ในการส่งบุตรหลาน เดินทางไปซัมเมอร์กับ CETA เจ้าหน้าที่ของเราสามารถดูแลน้อง ๆ ได้เป็นอย่างดีแน่นอนค่ะ 🙂

 

โทร.02-7125300

Line: CETA

CETA Cares…For Your Child’s Future Success

Learning Disabilities

Learning Disabilities (LD) หรือ โรคความบกพร่องทางการเรียนรู้ที่เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของสมอง พบได้ทั่วไปในเด็กวัยเรียน โดยจะแสดงออกมาในรูปแบบของความผิดปกติของกระบวนการเรียนรู้ ส่งผลให้ผลการเรียนของเด็กต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริง

สามารถจำแนกออกเป็น 3 ชนิด ดังต่อไปนี้

⛔️ ความบกพร่องด้านการอ่าน (Dyslexia) ขาดทักษะในการจดจำและการสะกดคำ จึงทำให้อ่านหนังสือไม่ออก อ่านออกเสียงไม่ชุด ผันวรรณยุกต์ไม่ได้ หรือไม่สามารถอ่านจับใจความได้

⛔️ ความบกพร่องด้านการเขียน (Dysgraphia) ไม่สามารถเขียนหนังสือได้ เขียนตกหล่น เขียนพยัญชนะสลับกัน ลายมือโย้เย้ เป็นต้น

⛔️ ความบกพร่องด้านการคำนวณ (Dyscalculia) ขาดทักษะและความเข้าใจค่าตัวเลข การนับจำนวน หรือการใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ จึงไม่สามารถบวก ลบ คูณ หาร ได้ตามปกติ

 

แนวทางการรักษาเด็กที่ป่วย LD

จำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือแบบบูรณาการ จากทางครอบครัว ทางการแพทย์ และ ทางการศึกษา เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นและพัฒนาไปได้โดยเร็ว ผู้ปกครองควรเลือกโรงเรียนที่มีความเหมาะสม

✅ สามารถวางแผนการเรียนเฉพาะบุคคล สอดคล้องกับความต้องการของเด็ก LD แต่ละคน

✅ มุ่งเน้นการเสริมทักษะที่มีปัญหา แก้ไขข้อบกพร่องได้ตรงจุด

✅ คุณครูและบุคลากรในโรงเรียน มีความเข้าใจและพร้อมจะช่วยเหลือ ไม่ทำให้เด็กรู้สึกกดดัน

✅ จัดการสอนเสริมพิเศษแบบตัวต่อตัว หรือกลุ่มเล็กๆ

✅ มีอุปกรณ์ สื่อสารเรียนการสอน สำหรับเด็ก LD โดยเฉพาะ

 

โรงเรียนสำหรับเด็ก LD มีเป็นจำนวนมากในต่างประเทศ และมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากใน แคนาดา นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา หากต้องการสอบถามข้อมูลโรงเรียนเพิ่มเติม สามารถติดต่อและปรึกษาเจ้าหน้าที่ CETA ได้เลยนะคะ

 

โทร.02-7125300

Line: CETA

CETA Cares…For Your Child’s Future Success

รายชื่อน้องคนเก่งจาก CETA ที่ได้รับทุนการศึกษาจากโรงเรียนต่างๆจากประเทศ อังกฤษ

รายชื่อน้องคนเก่งจาก CETA ที่ได้รับทุนการศึกษาจากโรงเรียนต่างๆ

จากประเทศ อังกฤษ

สวัสดีค่ะ วันนี้ CETA มาแจ้งข่าวที่น่ายินดีของน้อง ๆ ที่ได้รับการ Offer ทุนการศึกษาจากโรงเรียนต่างๆ ที่อังกฤษค่ะ มาดูกันเลยค่ะว่ามีน้องๆ คนไหน ได้รับทุนจากโรงเรียนอะไรกันบ้าง

น้องกัสจัง ได้รับทุนเข้าเรียนต่อที่ Moyles Court School  น้องทิวลิป ก็คว้าทุนจากโรงเรียน Truro School เช่นกันค่ะ ทางโรงเรียน Westonbirt School ก็ได้มอบทุนการศึกษาให้กับ น้องนาตาลี และน้องใบบัวอีกด้วยค่ะ

น้องๆ ที่สนใจอยากเรียนต่อ อยากลองใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ หรือสนใจเรื่องทุนการศึกษาเรียนต่อต่างประเทศ สามารถติดต่อ CETA ได้เลยค่ะ เรายินดีให้คำแนะนำ และดูแลตลอดการเดินทางค่ะ

Summer Course ที่ St. Michael’s College ประเทศอังกฤษ

Summer Course ที่ St. Michael’s College ประเทศอังกฤษ

สวัสดีค่ะ วันนี้ CETA มีประสบการณ์ดีๆ และพาโรงเรียนน่าเรียนมาแนะนำด้วยค่ะ ก่อนที่เราจะไปฟังเรื่องราวของน้องๆ เราแวะมาทำความรู้จักกับ St. Michael’s College กันก่อนดีกว่าค่ะ โรงเรียนที่ CETA แนะนำวันนี้นั้น ถึงจะเป็นโรงเรียนประจำขนาดเล็ก แต่เรื่องการเรียน และกิจกรรมสำหรับนักเรียน พูดเลยค่ะ ว่าเข้มข้น น้องๆ มั่นใจได้เลยค่ะว่าจะได้รับความเอาใจใส่จากคุณครูอย่างใกล้ชิด ในคอร์สเรียนฤดูร้อนน้องๆ จะมีคุณครูคอยให้ความช่วยเหลือในทุกวิชาเลยค่ะ

น้องๆ ที่ได้เข้าร่วมซัมเมอร์คอร์สกับ CETA ที่โรงเรียน St. Michael’s College ในช่วงวันที่ 1-31 กรกฏาคม 2560 แวะมาบอกกับ CETA ว่า น้องๆ ได้รับทั้งความรู้ ประสบการณ์ใหม่ด้วยค่ะ น้องนานา น้องเน็ตตี้ และน้องปริ้นซ์ ยังคว้ารางวัลชนะเลิศจากการประกวดทำคลิปวิดิโอ ร่วมกับเพื่อนชาวต่างชาติ ส่วนน้องมินนี่ และน้องเฟรญ่า ยังได้รับรางวัล Star Students จากโรงเรียนอีกหนึ่งรางวัลด้วยค่ะ

น้อง ๆ คนไหนที่สนใจอยากเรียนต่อต่างประเทศ หรืออยากได้รับประสบการณ์ดีๆ เหมือนน้องทั้งสองคน สามารถติดต่อ CETA ได้เลยค่ะ โอกาสดีๆ ในการเรียนต่อต่างประเทศรอน้องอยู่นะคะ

ประสบการณ์ และรางวัลที่น้องๆ ได้รับจากการชิงทุน ในโครงการ Feltsed x CETA

ประสบการณ์ และรางวัลที่น้องๆ ได้รับจากการชิงทุน ในโครงการ Feltsed x CETA

สวัสดีค่ะ วันนี้ CETA มีประสบการณ์ดีๆ จากน้องพลอย และน้องเอมี่ ที่ได้รับทุนการศึกษาจาก Felsted International Summer School ก่อนที่เราจะไปพบกับเรื่องราวของน้องคนเก่งทั้งสองคน เรามาทำความรู้จักกับทุนกันก่อนดีกว่าFelsted ร่วมกับ CETA

มอบทุนการศึกษาระยะสั้นที่ประเทศอังกฤษ ด้วยการมอบทุนการศึกษาถึง 2 รางวัลเลยค่ะ ทุนการศึกษามูลค่า 4800 ปอนด์ 1 ทุน และ 2400 ปอนด์ อีก 1 ทุน ซึ่งน้องคนเก่งของ CETA ได้ไปเรียนต่อถึง 4 สัปดาห์ พร้อมหอพัก อาหารครบ 3 มื้อ ทัศนศึกษา และยังมีค่าเดินทางไปกลับ ระหว่างสนามบิน ถึงโรงเรียนอีกด้วยค่ะ

น้องพลอย และน้องเอมี่ คือคนเก่งที่ได้รับโอกาสเรียนต่อระยะสั้น ที่ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม ถึง 6 สิงหาคม 2560 ได้เดินทางกลับมาที่ไทยเรียบร้อยแล้วนะคะ แถมยังมีรางวัลติดไม้ติดมือกลับมาฝากให้ พวกเราได้ชื่นใจกันอีกด้วยคะ เพราะว่าน้องพลอย ได้รับรางวัล เด็กหญิงดีเด่นด้วยค่ะ แถมน้องๆ ยังแอบกระซิบมาว่า เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ เลยล่ะค่ะ

น้อง ๆ คนไหนที่สนใจอยากเรียนต่อต่างประเทศ หรืออยากได้รับประสบการณ์ดีๆ เหมือนน้องทั้งสองคน สามารถติดต่อ CETA ได้เลยค่ะ โอกาสดีๆ ในการเรียนต่อต่างประเทศรอน้องอยู่นะคะ